Sunday, November 23, 2014

017. vow





I love you.
I love you for everything that you are,
and for forgiving me for everything that I'm not.

I love you.
(Even) In silence, and in sorrow.
Endlessly, and effortlessly.

I love you.
And thank you, for every single smiles,
every little laughs that escaped our lips,
and the added sparks of colour.

I love you.
Even when you're not easy to love,
and when I'm not easy to love.

-----------------------

you are the sun, and the sea.

Friday, November 7, 2014

016. the love that last [02]


continue!!

จะพายอ้นความทรงจำไปกับ

[LOVE展] All You Need Is Love: From Chagal to Kusama to Hatsune Miku

อีกรอบนึงนะคะ :))

หลังจากเราออกจากโลกสีดำนั้นความรัก็ครอบงำเราเรียบร้อย
ความรักที่ว่าเนี่ย คือความรักในเอกซิบิชั่นนี้นะ ๕๕๕

หลังจากผ่านเซคชั่นแรกมาแล้ว ก็ไปยังเซคชั่นที่สอง
มีชื่อว่า A Couple in Love
ส่วนมากเป็นพวก painting, sculpture ของศิลปินดังๆ 
ที่งานนี้ยกให้เป็นที่โดดเด่น คืองานของ Chagall

ซึ่งเราขอโทษที่มันไม่ได้ประทับจิตเราในตอนนั้น ๕๕๕ 
พวกมาสเตอร์พีซของศิลปินฝีมือดี ถ้าไม่ได้ยืนพินิจพิจรณาอย่างถี่ถ้วน
ก็คงไม่สามารถจะวิจารณ์ได้
ในตอนนั้นเราเดินดูนิทรรศการด้วยความรีบร้อนนิดหน่อย เลยขอละเว้นผลงานดังๆไว้ละกันนะ

แต่ในห้องนั้นก็มีผนังหนึ่งซึ่งถูกใจเรานิดหน่อย
เป็นผลงานของ Chang En-Tzu

ภาพปักบนแคนวาสขนาดใหญ่ เลียนแบบเจ้าหญิงดิสนี่ย์
แต่สอดแทรกภาพที่เกี่ยวกับเซ็กซ์เข้าไป


ภาพนี้เอามาจากกูเกิ้ลนะ ๕๕๕

ดูแบบนี้นี่อย่างกับฝีมือพวกเด็กม.ต้นจอมทะลึ่งที่มือบอนว่าวาดรูปลามกบนประตูห้องน้ำเลย
แต่ตอนที่เราเดินเข้าไปและเห็นว่ามันเป็นภาพปักกับด้ายสีแดงเราตกใจมากๆเลยล่ะ ๕๕

ในตัวมันเองภาพนี้ก็พูดประเด็นได้หลายอย่างอยู่แล้ว แต่หลักๆก็คงเป็น myth เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์
รวมไปถึงความคาดหวังในสถานะภาพของผู้หญิงด้วย

อีกจุดที่เราหยุดดูอยู่นานคือการแสดงภาพถ่ายของ Nan Goldin
ซึ่งเอามาจากซีรี่ย์ที่ชื่อว่า The Ballad of Sexual Dependency 


The Hug, New York City
1980



เราชอบความที่มันมีอะไรดิบๆ เถื่อนๆ แต่ก็อ่อนไหวในเซ็ตนี้อ่ะ 
อ่านมาว่า เป็นการแสดงความสัมพันธ์และความไม่เข้าใจกันในหมู่คู่รัก ครอบครัว และเพื่อน
ซึ่งเอามาจากชีวิตจริงและคนรอบๆตัวของช่างภาพ ในช่วงยุค 70s-80s 
มันกรันจ์จังเลยแก ๕๕๕ 

แน่นอนว่าพาร์ทที่ชื่อ A Couple in Love ย่อมเน้นถึงความรักของคู่รัก
และเราชอบที่นิทรรศการนี้ไม่ได้แค่เลือกเอาความหวานของคู่รัก แต่รวมความขมและเผ็ดร้อนเอาไว้ด้วย

พูดง่ายๆว่าระหว่างคนรักสองคน ย่อมไม่ได้มีแค่ความหวานหอม
ไม่ได้มีแค่ภาพการกอด การจูบ หรือการแสดงท่าทีโรแมนติกต่อกัน

แต่ระหว่างคนรักสองคนมีความรู้สึกมากมายอัดอยู่ในนั้น
ไม่ว่าจะเป็นความไม่เข้าใจกัน ความหึงหวง ความเจ็บปวด ความอิจฉา
เป็น physical and mental violence ที่มากับความสัมพันธ์แบบคนรัก
แน่นอนว่ารวมไปถึงเรื่องของเซ็กซ์และความสัมพันธ์ทางกาย

ในพาร์ทนี้ของงาน ผู้จัดสามารถรวบรวมผลงานที่ถ่ายทอดความหลากหลาย ความซับซ้อน และความไม่สมบูรณ์แบบของความรักระหว่างคู่รักได้
ซึ่งมันทำให้เราประทับใจมากๆ 

และการแนะนำถึงอารมณ์ที่ขมขื่นของความรักนี้เป็นการนำผู้ชมไปสู่เซคชั่นที่ 3:
Love in Losing 

มันมีห้องนึงที่เราประทับจิตมากอีกแล้ว ๕๕๕
สังเกตุว่าเราจะตื้นตันกับผลงานที่ interactive หน่อยๆ
เพราะเราโดนหลอกง่าย ๕๕๕๕ แบบ โดนดึงอารมณ์ร่วมได้ง่าย
ก็เลยชื่นชอบผลงานที่คนสร้างพยายามจะดึงผู้ชมเข้าไปร่วมด้วย

นี่เป็นผลงานของ Sophie Calle
มีชื่อว่า Take Care of Yourself  

I received an email telling me it was over.
I didn't know how to respond.
It was almost as if it hadn't been meant for me.
It ended with the words, "Take care of yourself."
And so I did.
I asked 107 women (including two made from wood and one with feathers),
chosen for their profession or skills, to interpret this letter.
To analyze it, comment on it, dance it, sing it.
Dissect it.  Exhaust it.  Understand it for me.
Answer for me.
It was a way of taking the time to break up.
A way of taking care of myself.

ฉันได้รับอีเมล์ส่งมาบอกว่า ระหว่างเรามันจบลงแล้ว
ฉันไม่รู้ว่าควรจะตอบมันอย่างไร
แทบจะเหมือนว่าข้อความนั้นไม่ได้เขียนมาให้ฉันด้วยซ้ำ
เขาทิ้งท้ายด้วยคำว่า "ดูแลตัวเองด้วยนะ"
ฉันก็เลยทำมัน
ฉันขอให้ผู้หญิงทั้งหมด 107 คน (รวมถึงสองคนที่ทำจากไม้ และอีกหนึ่งคนที่มีขนนก)
ให้ใช้อาชีพ, หรือความสามารถของพวกเธอ เพื่อตีความข้อความนี้
เพื่อวิเคราะห์มัน แสดงความคิดเห็น นำมันไปเต้นรำ ไปร้องเป็นเพลง
ชำแหละมัน ใช้มันให้หมด เข้าใจมันให้ฉันที
ตอบมันให้ฉันที
มันเป็นวิธีค่อยๆใช้เวลาเพื่อเลิกรา
เป็นวิธีที่ฉันดูแลตัวเอง

ห้องนั้นเต็มไปด้วยผลงานคนอื่นๆสร้างขึ้นมา หน้าห้องมีแจกก็อปปี้ของอีเมล์ฉบับนั้น
มีทั้งภาพถ่าย ทั้งวีดีโอ มีทั้ง contemporary dance ทั้ง essay วิเคราะห์จดหมาย
เป็นคอลเลคชั่นไร้ขอบเขต ที่ผู้หญิงกำลังทำความเข้าใจกับการบอกเลิก 

เราอ่านแล้วหน่วงมากๆ ๕๕๕ สามารถไปหาอ่านได้ในอินเตอร์เน็ต
ใจหนึ่งเราก็ประทับใจในการที่ผู้หญิงคนหนึ่งเอาจุดจบของความรักมาสร้างเป็นผลงาน
และประทับใจที่ทุกส่วนของความรักสามารถดึงเอาอะไรบางอย่างออกมาจากตัวมนุษย์ได้เสมอ

อีกงานที่ชะนีเฟมินิสต์ที่เรารู้จักทุกนางจะต้องเห็นแล้วกริ้ว
คือ video installation ของ Adel Abidin ชื่อ 52 Guaranteed Affection
สามารถหาดูได้ในกูเกิ้ล
ทีนี้ล่ะ เม้าท์กันเพลิน และด่ากันสนุกปากชัวร์ ๕๕๕๕
-------

ยิ่งเขียนยิ่งรู้สึกว่าไม่พอ ๕๕๕๕ งานแต่ละงานนี่เขียนได้ 1 entry เลยนะเนี่ย
อย่างไรก็ตาม แล้วจะมาเล่าให้ฟังอีก วันหลังนะคะ :) 


Saturday, November 1, 2014

015. the love that last [01]



เราตัดสินใจจะเขียนถึงสิ่งน้ี ที่เราไปมาเมื่อปีที่แล้ว

ปี 2013 เราไปญี่ปุ่นกับที่บริษัทแม่ เป็นทริปเล็กๆ
แล้วพอดี มีโอกาสได้ไป Mori Art Museum เพราะแม่เป็นแฟนเกิร์ลของ Kusama Yayoi
พอรู้ว่ามัน exhibition อันนี้ เลยตัดสินใจไปกันหมดทุกคน

เราไม่ได้รู้อะไรเรื่องงานนี้มาก่อน ไม่ได้ expect อะไรด้วย
เราไม่คิดเลยว่า เราจะเดินเข้าไปเจออะไรที่มันจะติดตัวเราไปขนาดนี้

หมายเหตุ: นี่เป็นเอนทรี่ย์จากความทรงจำ มันคงมีการบิดเบือน เพราะผ่านมาเกินปีนึงแล้ว อย่าไปใส่ใจ ๕๕๕ และ "รูปทั้งหมด เอามาจากกูเกิ้ล บางภาพอาจไม่ใช่ภาพผลงานจริง และขออนุญาตใช้ภาพไว้ ณ ที่นี้ด้วย"

คร่าวๆก่อนว่า Mori Art Museum ป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ตั้งอยู่ที่รปปงงิ ฮิลส์ และปี 2013 ที่ผ่านมานี้ก็ครบรอบ 10 ปีพอดี ก็เลยมี exhibition พิเศษที่ชื่อว่า 

[LOVE展] All You Need Is Love: From Chagal to Kusama to Hatsune Miku


ตัวคอนเซปต์ของงานจะหยิบยกแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัยมา นั่นก็คือ 
"ความรัก" โดยจะพูดถึงทั้งความรักโรแมนติกระหว่างชายหญิง ความรักในครอบครัว และความรักต่อมนุษยชาติ รวมไปถึงอารมณ์ที่เกิดมาจากความรัก และเป็นการมองความรักในหลายๆแง่

ตัวงานจะแบ่งออกเป็น 5 ข้อย่อยด้วยกัน:
What Is Love? 
A Couple in Love
Love in Losing
Family and Love
Love Beyond

โดยรวมผลงานกว่า 200 ชิ้นของศิลปินมากมาย ทั้งผลงานคลาสสิกต่างๆจนถึงงานของศิลปินหน้าใหม่ 

เราจะขอพูดถึงแค่ผลงานที่มันประทับฝังอยู่ในจิตใจของเราละกันนะ

ห้องแรกที่เราเดินเข้าไป คือห้อง What is Love?
เราพบกับ sculpture ขนาดใหญ่ของ Jeff Koons เป็นรูปช็อกโกแล็ตหัวใจห่อในกระดาษฟอยล์สีทองตั้งอยู่กลางห้อง ชื่อผลงานว่า Sacred Heart
เป็นการพูดถึงความรักปัจจุบันที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสังคมทุนนิยม
เราจ้องผลงานชิ้นนั้น และในกระดาษฟอยล์สีทองจำลองนั้นเรามองเห็นแค่ใบหน้าของตัวเอง และไม่เห็นใจใดๆทั้งนั้น
เกิดคำถามกับตัวเองในตอนนั้นว่า หรือความจริงใจทุกวันนี้ต้องห่อไว้ด้วยกระดาษทองปิดไว้ไม่ให้ใครดูรึเปล่า เป็น conspicuous love รึเปล่า สะท้อนแต่สิ่งที่อยากให้เห็นไม่ใช่จิตใจข้างในจริงๆรึเปล่า?
(ขี้มโนสมเป็นเด็กอักษรรึเปล่า? ๕๕)





อีกด้านของห้องเป็นแคนวาสรูปหัวใจสีชมพูพาสเทลสดใส ประดับด้วยผีเสื้อ ผลงานของ Damien Hirst ซึ่งโดดเด่นด้านการสร้างผลงานที่มีธีมหลักเป็น "ความตาย"
มองไปก็เป็นภาพที่น่ารักสวยงาม แต่พอดูใกล้ๆแล้ว ผีเสื้อที่ติดอยู่บนแคนวาสนั้น คือผีเสื้อจริงๆไม่ใช่ภาพวาดหรือของจำลอง เป็นสิ่งที่เคยมีชีวิต ดูเป็นความจริงที่โหดร้ายและทารุณ ว่าผีเสื้อต้องตายเพื่อแลกมาซึ่งงานศิลปะและความรัก

งานชิ้นนี้ถูกใจเรามากเป็นพิเศษจนต้องซื้อโปสการ์ดกลับมา เราไม่รู้ทำไมแต่เราถูกใจมากจริงๆ ทั้งโครงหัวใจ ทั้งเฉดสีของสีชมพู ความเป็นโศกนาฏกรรม และความตาย โปสการ์ดนี้ติดอยู่บนอาร์ตวอลล์ของห้องนอนเราทุกวันนี้ นายเจ๋งจริงๆ Damien Hirst

ถัดมานิดนึงเป็นผลงานของ Nishiyama Minako ที่เป็นแบบจำลองขนาดเท่าคนจริงของห้องนอนในบ้านตุ๊กตาริกะจัง และคำถามที่ว่าทำไมห้องนอนของบ้านตุ๊กตาที่เป็นของเล่นของเด็กผู้หญิงนั้น ถึงมีความคล้ายคลึงกันจนแทบแยกไม่ออกกับ "เลิฟโฮเทล" ของญี่ปุ่นขนาดนี้?
หรือจะเป็น myth ที่แทรกไว้โดยไม่รู้ตัว ว่าด้วยเรื่องของความรัก เซ็กซ์ และบทบาทของผู้หญิงในสังคม

อีกอย่างที่มันตราตรึงใจเรามากที่สุดในงานนั้น ในวันนั้น ในทริปนั้น และแม้แต่ในตอนนี้
คือ งานของ Sawanayagi Hideyuki

เป็นห้องสี่เหลี่ยมมืดสนิท ให้เราเดินเข้าไป บนจอมีโปรเจ็คเตอร์ที่ฉายวนไปวนมา
และบอกกับเราว่า "ในอีก 30 วินาที คุณจะถูกความรักครอบงำ"
ในโลกสีดำเล็กๆมีเพียงตัวหนังสือสีขาวตรงหน้าที่นับถอยหลังไปเรื่อยๆ
30..29...28... จนถึง
3..2..1..
ทันใดนั้น ก็มีแฟลชคำว่า LOVE ขึ้นกลางจอ เป็นสีขาวสว่างเพียงเสี้ยววินาทีเดียว



แต่พอเดินออกมาจากห้อง ด้วยปฏิกิริยาที่แสงทำกับดวงตา
ไม่ว่างจะมองไปทางไหน คำว่า LOVE ก็ยังฝังแน่นและแฝงตัว ติดอยู่ในตาเราไปหลายวินาที

เราคิดว่าเป็นการจำลองการตกหลุมรักที่ accurate มากที่สุดที่เราเคยเจอในชีวิต
ทุกวันนี้คำว่า LOVE สีขาวคำนั้นจากห้องสีดำนั้นก็ยังคงเป็นประสบการณ์ที่เราฝังใจมากที่สุดเลย


entry หน้าจะพาย้อนรอยอีกรอบในห้องอื่นๆต่อไปนะคะ  :)
ไว้เจอกันเร็วๆนี้ค่ะ